ชายคนหนึ่งชื่อเหว่นเชียงก่อล็อก เขาคิดว่าผีฟ้าเป็นคนโหดร้ายมาก เขาจึงทำพิธีดักผีฟ้าโดยเอาของสกปรกที่สุดคือเลือดสุนัขมาทาไว้ที่พื้นดิน แล้วเขาก็ล่อให้ผีฟ้าลงมา เมื่อผีฟ้าลงเขาก็เอาโซ่มัดกับเสาบ้าน เขาคิดว่าจะเอาผีฟ้ามาหมักดองแต่ว่าไม่มีเกลือจึงเดินทางไปซื้อเกลือแล้ว สั่งลูกๆไว้ว่าอย่าเอาอาหารให้ผีฟ้ากิน แต่ลืมสั่งว่าห้ามเอาน้ำให้กิน เมื่อเหว่นเชียงก่อล็อกออกไปผีฟ้าจึงอ้อนวอนขอกินน้ำกับลูก ๆ ของเหว่นเชียงก่อล็อก พอผีฟ้ากินน้ำเข้าไป น้ำนั้นเป็นน้ำไม่สะอาดผีฟ้าจึงบ้วนน้ำออกมากลายเป็นฟ้าแลบ พอขอกินน้ำสะอาดก็กลายเป็นฟ้าผ่า จากนั้นก็กระโดดหลุดออกจากโซ่ ฟันของผีฟ้าก็หลุดออกมา2ซี่ กลายเป็นต้นน้ำเต้างอกออกมา เมื่อเหว่นเชียงก่อล็อก กลับมาบ้านไม่เห็นผีฟ้า เขาก็ท่องมนต์อุดทะเลไว้ทำให้ผีฟ้าไปไม่ได้ เมื่อเขาตามผีฟ้ามาทันทั้งสองก็ต่อสู้กันจนเหว่นเชียงก่อล็อกตายบนต้นสน

ลูก ๆ ของเหว่นเชียงก่อล็อกเอาเมล็ดน้ำเต้ามาปลูกตามคำบอกเล่าของนกตัวหนึ่ง ถ้าเมล็ดแก่แล้วให้เก็บมาเจาะรู พอถึงเวลาให้สองพี่น้องเข้าไปในน้ำเต้าแล้วปิดฝาไว้ หลังจากนั้น7 วัน7คืนเกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ หลายวันผ่านไปสองพี่น้องออกมาไม่เห็นมีมนุษย์อยู่เลย เดินไปบังเอิญเจอเต่าตัวหนึ่ง เต่าบอกว่าตอนนี้ไม่มีมนุษย์อยู่บนโลกแล้ว แต่ทั้งสองพี่น้องไม่เชื่อหาว่าเต่าโกหก เขาก็ฆ่าเต่าแล่เนื้อออกมาแบ่งเป็นสิบสองชิ้น จากนั้นเขาก็เดินออกไปสำรวจหาคนแต่ไม่มีใครเลย เขาจึงหวนกลับมาแล้วใช้เวทมนตร์ชุบชีวิตเต่าคืนมา (เป็นสาเหตุให้ตรงหลังเต่ามีรอยแบ่งสิบสองซี่)

สองพี่น้องกังวลว่าเมื่อไม่มีมนุษย์แล้วจะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้อย่างไร เขาเลยตัดสินใจเสี่ยงทายโดยการปลูกไม้ไผ่คนละฟากเขา แต่ไม้ไผ่ทั้งสองกอก็โยงปลายไม้เข้ามาหากัน ก่อไฟอยู่คนละที่ควันไฟก็ลอยมาหากัน ทั้งสองจึงต้องมีเพศสัมพันธ์กันเอง หลังจากนั้นน้องสาวท้องได้สี่เดือนก็ออกมากลายเป็นฟักเขียว ทั้งสองจึงตัดแบ่งฟักออกเป็นสิบสองชิ้นแล้วไปหว่านไว้ข้างล่างดอยน้อยกว่าบน ดอย แต่สามีนั้นจำผิดเลยไปหว่านสลับที่กันกลายเป็นหว่านข้างล่างดอยมากกว่าบนดอย

เวลาผ่านไป 7 วันก็มีคนเกิดขึ้นที่ข้างล่างดอยมากกว่าบนดอย ทำให้บนดอยมีคนน้อย ไม่เกิดปัญหา ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน แต่พื้นราบมีคนมากกว่าบนดอยจึงมีเรื่องราวฆ่าฟันกัน แล้วมนุษย์พวกนี้ก็เดินไม่ได้ ได้แต่คลาน ทั้งสองคนจึงตำข้าวปุ๊ไปแปะที่หัวเข่าแล้วสั่งสอนให้ทำงานนับตังแต่นั้นมา

ขอขอบคุณ http://culturelib.in.th/articles/831