คริสเตียนในสมัยก่อน มักทักทายกันว่า “พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว”   ตามความจริงในพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้น วันศุกร์(ปัจจุบันคริสเตียนเรียกว่า"วันศุกร์ประเสริฐ") เป็นวันที่พระเยซูทรงถูกตรึง สิ้นพระชนม์ที่บนไม้กางเขน เพราะบาปของคนทั้งหลาย  ทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สาม คือวันอาทิตย์ พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่

       เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับมนุษยชาติ ทูตสวรรค์ได้ประกาศแก่บรรดาสตรี ที่ไปหาพระองค์ที่อุโมงค์ฝังพระศพของพระองค์ว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากมาจากความตาย พวกนางจึงรีบวิ่งไปแจ้งแก่สานุศิษย์ของพระองค์ แล้วพวกเขาได้ออกไปประกาศเรื่องนี้ทั่วโลก   ความจริงนี้จึงปรากฏอยู่จนทุกวันนี้

      อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายคนไม่เชื่อเรื่องนี้ เช่น ในสมัยพระเยซู พวกสะดูสี เชื่อพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่บันทึกโดยโมเสส แต่ไม่เชื่อเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย  ลู วอลเลซ(Lew Wallace) อดีตนายทหารฝ่ายเหนือของกองทัพอเมริกัน และอดีตผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโก เขาอยากแสดงให้คนเห็นว่า คริสเตียนนั้นโง่เขลา พระคัมภีร์คือหนังสือที่เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จ เขาจึงเริ่มศึกษาพระคัมภีร์ แล้วเขาก็ได้ประกาศออกมาว่า  พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เขายังได้เขียนหนังสือชื่อ เบนเฮอร์ (เรื่องเล่าของพระคริสต์) ต่อมากลายเป็นหนังที่โด่งดัง ทั้งกลายเป็นประเพณีที่เทศกาลอิสเตอร์ (วันระลึกถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์) ผู้คนมักจะดูกัน          

จะเป็นอย่างไร ถ้าการเป็นขึ้นมาจากความตายไม่มี ???

 ถ้าการเป็นขึ้นมาจากความตายไม่มี…

  1. พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ 

      ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ 1โครินธ์ บทที่ 15 ข้อที่ 15-16 กล่าวว่า “ถ้าการเป็นขึ้นมาจากความตายไม่มี พระคริสต์ก็หาได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา”

      การคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นผลแรกสำหรับคนทั้งปวง ดังที่ปรากฏอยู่ในข้อที่ 21 ของพระคริสตธรรมคัมภีร์บทนี้ว่า “...ความตายได้เกิดขึ้นเพราะคนหนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันนั้น”

      มีหลักฐานมากมายยืนยันว่า พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เช่น หินใหญ่ซึ่งหนักประมาณ 2 ตัน ที่ปิดปากอุโมงค์ฝังพระศพของพระองค์ ถูกกลิ้งออกไป แม้จะถูกฉาบด้วยดินเหนียว  จากนั้นก็มีแหวนตราประทับเครื่องหมายไว้บนดินเหนียว แล้วขึงเชือกขวางหินปิดปากอุโมงค์อีกที   เพื่อไม่ให้ใครมาแตะต้องหินนั้น   ทั้งให้ทหารรักษาการณ์ไว้ (กองทหารรักษาการณ์ของโรมันนั้นจะมีประมาณ 14-16 นาย  แต่ละนายถูกฝึกให้เฝ้าระวังพื้นที่กว้าง 2 เมตร เมื่อรวมกันแล้วกองทหารเหล่านี้จะสามารถต่อสู้ป้องกันการโจมตีของทหารหนึ่งกองพันได้)  

      ทหารเหล่านั้นเข้าประจำการตั้งแต่วันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของคนยิว พอเช้ามืดของวันอาทิตย์ ทัน​ใด​นั้น​ก็​เกิด​แผ่น​ดิน​ไหว​รุนแรง เพราะ​มี​ทูต​สวรรค์​องค์​หนึ่ง​ ลง​มา​จาก​สวรรค์​ ​กลิ้ง​ก้อน​หิน​ออก​จาก​ปาก​อุโมงค์​แล้ว​นั่ง​อยู่​บน​หิน​นั้น ลักษณะ​​ทูต-สวรรค์​นั้น​เหมือน​แสง​ฟ้า​แลบ เสื้อ​ขาว​เหมือน​หิมะ พวก​ยาม​ที่​เฝ้า​อยู่​ก็​กลัว​​จน​ตัว​สั่น​เหมือน​คน​ตาย พอลุกขึ้นได้ พวกเขาก็วิ่งเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็ม แจ้งให้ผู้นำยิวทราบว่า “มีทูตสวรรค์มาปรากฏและได้กลิ้งก้อนหินใหญ่ที่ปิดอุโมงค์ออก และพวกเขาได้สลบไป เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าอุโมงค์ ว่างเปล่า และพระศพของพระเยซูได้หายไปเสียแล้ว” ผู้นำยิวจึงจ่ายเงินปิดปากเป็นจำนวนมาก เพื่อให้พวกเขาโกหกว่า สานุศิษย์ของพระเยซูได้ขโมยพระศพไปในขณะที่พวกทหารหลับอยู่ ผู้นำยิวยังยืนยันว่า  ถ้าข่าวเรื่องพระศพหายไปนี้รู้ถึงหูปีลาตเจ้าเมือง พวกเขาจะช่วยพูด ปกป้องพวกทหาร

      ทูต​สวรรค์​ยัง​กล่าว​กับสานุศิษย์ของพระเยซูที่เป็น​ผู้​หญิง(ซึ่งเข้าใจผิดว่า พระคริสต์ยังถูกฝังไว้​ที่อุโมงค์   พวกเธอจึงได้ไปที่นั่นแต่เช้า เพื่อจะชโลมพระศพพระองค์) ทูตสวรรค์กล่าวกับพวกนางว่า “อย่า​กลัว​เลย เรา​รู้​แล้ว​ว่า​พวก​ท่าน​มา​หา​พระ​เยซู​ที่​ถูก​ตรึงที่​กาง​เขน  พระ​องค์​ไม่​ได้ทรง​อยู่​ที่​นี่ เพราะ​ทรง​เป็น​ขึ้น​มา​แล้ว​ตาม​ที่​พระ​องค์​ตรัส​ไว้​นั้น จง​มา​ดู​ที่​ซึ่ง​เขา​วาง​พระ​องค์​ไว้​นั้น เมื่อพวกนางเข้าไป ก็เห็นผ้าห่อพระศพที่เป็นผืนยาวถูกพับเรียบร้อย ต่อมาพระเยซูก็ได้ทรงปรากฏแก่ผู้คนอีก 14 ครั้งในระยะเวลา 40 วัน เป็นต้น

  1. การประกาศพระกิตติคุณก็ไร้แก่นสาร 

       ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาความตาย การเทศนาของคริสเตียนก็ไร้แก่น-สาร แต่จากพระธรรมกิจการ ปรากฏว่า ผู้นำคริสเตียน ต่างก็ประกาศเรื่องการคืนพระชนม์ของพระองค์ด้วยใจกล้า เช่น เปโตรประกาศว่า “...ท่านทั้งหลายได้...จับพระองค์ไปตรึงที่กางเขน ...พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้พระองค์คืนพระชนม์...” (กจ. 2.23-24)  เปาโลซึ่งเคยต่อต้านพระคริสต์ ต่อมาได้กลับใจแล้วออกไปประกาศกับคนทั้งหลายว่า “พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์คืนพระชนม์” ต่อมาราว ๆ ค.ศ.55 ท่านได้บันทึกว่า  พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงปรากฏแก่อัครทูต 12 คน และสาวกกว่า 500 คน ระหว่าง 40 วัน ในเวลาและสถานที่ที่ต่างกัน ขณะที่ท่าน ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ หลายคนที่ท่านได้อ้างถึงนั้นยังมีชีวิตอยู่ (1โครินธ์ 15:5-8) และท่านยังเปิดโอกาสให้ผู้นำยิวที่คอยจ้องจับผิด สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้

         ดังนั้นหากการเป็นขึ้นมาจากความตายไม่มีจริง และพระเยซูคริสต์ ก็ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย สาวกของพระเยซู จะไม่สามารถแก้ตัวได้ ทั้งการเทศนาของพวกเขา ก็ไม่มีแก่นสารที่แน่นอน และไร้ประโยชน์ 

  1. คริสเตียนกลายเป็นพวกให้ข้อมูลเท็จ 

          ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า บรรดาสานุศิษย์ได้ประกาศสั่งสอนด้วยใจกล้าว่า คนยิวได้ตรึงพระเยซูคริสต์ไว้ที่กางเขน แต่พระเจ้าทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ฉะนั้นถ้าการเป็นขึ้นมาจากความตายไม่มี ผู้นำคริสเตียนในสมัยแรกก็เป็นพวกที่ให้ข้อมูลเท็จ แต่พวกเขาได้เป็นพยานอย่างสัตย์ซื่อไม่กลัวตาย เพราะเรื่องที่พวกเขาพูด ได้เกิดขึ้นจริง !

  1. มนุษย์ยังตกอยู่ในความบาป 

         ถ้าการเป็นขึ้นจากความตายไม่มีจริง และพระเยซูคริสต์ก็หาได้เป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษย์ทั้งหลายก็ยังตกอยู่ในความบาปของตน แต่เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ผู้เชื่อจึงได้รับการไถ่ออกจากความบาป ดังที่พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้กล่าวว่า“พระเยซูผู้ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม”(โรม 4.25)  จึงเป็นที่แน่ชัดว่า คนทั้งหลายได้กลับเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า พ้นผิดจากบาปกรรมเวร เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

  1. คนที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศศูนย์เปล่า

         ถ้าการเป็นขึ้นจากความตายไม่มีจริง และพระเยซูคริสต์ก็ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย    คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วตายไป ก็พินาศศูนย์เปล่า คริสเตียนจะเป็นพวกที่น่าสังเวชที่สุด ! เพราะมีความหวังในพระคริสต์แค่ในชีวิตนี้  เพราะชีวิตในโลกนี้เป็นชีวิตที่ชั่วคราว เมื่อเราตายแล้ว ทุกสิ่งก็ไร้ประโยชน์ คนที่ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์อยู่ในโลกนี้ มีความสุข สนุกสนาน สบาย...ชีวิตเขาน่าจะดีกว่าคริสเตียน ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นมาจากความตาย

         แต่แท้จริงผู้เชื่อในพระคริสต์ คือผู้ที่มีชีวิตเต็มด้วยความหวังแท้ทั้งโลกนี้และโลกหน้า และเมื่อพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาสู่โลกนี้อีกครั้ง  เขาที่ได้ตายไปในพระคริสต์ จะได้เป็นพวกแรก ที่จะเป็นขึ้นมาจากความตาย และได้ไปอยู่ที่บ้านอันถาวรในแผ่นดินสวรรค์ดังที่พระคริสตธรรมคัมภีร์ยืนยันชัดเจนในพระธรรม 1 เธสะโลนิกา บทที่ 4 ข้อที่16-18 ว่า

“16 คือ​ว่า​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จะ​เสด็จ​มา​จาก​สวรรค์​ด้วย​พระ​ดำ​รัส​สั่ง ด้วย​เสียง​เรียก​ของ​หัว​หน้า​ทูต​สวรรค์​และ​ด้วย​เสียง​แตร​ของ​พระ​เจ้า และ​ทุก​คน​ที่​ตาย​แล้ว​ใน​พระ​คริสต์​จะ​เป็น​ขึ้น​มา​ก่อน

 17 ​จาก​นั้น​พระเจ้า​จะ​ทรง​รับ​พวก​เรา​ซึ่ง​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่​ขึ้น​ไป​ใน​เมฆ​พร้อม​กับ​คน​เหล่า​นั้น และ​จะ​ได้​พบ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ใน​ฟ้า​อา​กาศ อย่าง​นั้น​แหละ เรา​ก็​จะ​อยู่​กับ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เป็น​นิตย์ 

18 เพราะ​ฉะ​นั้น จง​หนุน​ใจ​กัน​ด้วย​ถ้อย​คำ​เหล่า​นี้​เถิด”

          ขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาจากความตายตามพระสัญญาของพระองค์  ศาสตราจารย์อนอลด์ โทอินบี ซึ่งสอนวิชาประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้ทำการค้นคว้าเป็นเวลานาน แล้วได้ประกาศออกมาว่า “ข้าพเจ้าใช้หลายปีค้นคว้าประวัติในอดีต พิสูจน์เอกสารและซากวัตถุโบราณ ความจริงที่สมบูรณ์และชัดเจนที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบ ก็คือความจริงที่ว่า พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นจากความตาย

          การเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นรากฐานของความเชื่อของคริสเตียน ถ้ารากฐานของบ้านถูกทำลายลง บ้านหลังนั้นทั้งหมดก็จะพังลงด้วยฉันใด ถ้าการเป็นขึ้นมาจากความตายไม่มี และพระเยซูคริสต์ก็ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ก็จะไม่มีความเชื่อคริสเตียนฉันนั้น !!!

         ดังนั้นห้เราดำเนินชีวิตอย่างมั่นใจว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และให้เราแชร์ความจริงนี้แก่ทุกคน หนุนใจผู้ที่ทุกข์โศก ให้ความมั่นใจแก่ผู้ที่สงสัย เพราะชีวิตเรา...

อยู่ด้วยฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์