กำจัดโกรธ

   วันนี้เรามาคุยกันถึงความโกรธ ซึ่ง เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การทำความบาป ตั้งแต่เป็นทารกมา เราทุกคนต่างก็รู้จักโกรธแล้ว ไม่ได้ดังใจ โกรธ ถูกขัดใจก็โกรธ โตขึ้นมา ถ้าบิดามารดาไม่อบรมสั่งสอน เราก็จะกลายเป็นเด็กโกรธ โมโหง่าย อารมณ์รุนแรงฉุนเฉียว ถ้าปล่อยอารมณ์โกรธนี้ไว้ไปเรื่อยๆ ก็จะโกรธถึงขั้นไปทำลายข้าวของ ทำร้ายร่างกายของตนเอง หรือทำร้ายผู้อื่นได้

ความขัดแย้ง เหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ ก็มาจากความโกรธ ความแค้น ครอบครัวที่ พ่อมีอารมณ์โกรธ หรือแม่มีอารมณ์โกรธ ก็ไม่สงบสุข ธุรกิจการงานไปไม่รอดหลายครั้ง ก็เพราะความโกรธ ความแค้น ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง สูญเสียไป ส่วนใหญ่ก็มาจากความโกรธ จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้กระทั่งสงครามระหว่างประเทศบ่อยครั้ง ก็มีสาเหตุมาจากความโกรธแค้นของผู้นำประเทศ

ในสุภาษิต 14:29 กล่าวว่า

   “บุคคลที่โกรธช้า ก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่โมโหเร็ว ก็ยกย่องความโง่”

   สุภาษิต 29:11 ก็บอกไว้อย่างนี้ว่า

   “คนโง่ย่อมให้ความโกรธของเขา พลุ่งออกมาเต็มที่ แต่ปราชญ์ย่อมยับยั้งโทสะไว้เงียบๆ”

   ปัญญาจารย์ 7:9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า

“อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว เพราะความโกรธมีประจำอยู่ในทรวงอกของคนเขลา”

มีสุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “เมื่ออารมณ์โกรธเข้าประตูหน้า สติปัญญาก็โผล่ออกที่ประตูหลัง” คือถ้ามีความโกรธเมื่อไร    สติปัญญาก็รีบลาบาย ๆ จึงแสดงว่าอารมณ์โกรธกับสติปัญญา ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้

ใครที่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองได้ จะได้เปรียบทุกสถานการณ์ นึกถึงจอมยุทธ์ เขาจะมีคำพูดว่า “นิ่ง สงบ สยบมาร” ดังพระคำภีร์พระเจ้าได้สั่งเราว่า “ จงนิ่งเสียและรู้เถอะว่าเราคือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก” -สดุดี 46:10 นิ่งในใจ เพราะรู้ว่าพระเจ้านั้นยิงใหญ่ ไม่ใช่ข้านั้นยิ่งใหญ่ สยบมารได้

ตัวอย่าง ลิงเจ้าโมโห

มีเรื่องเล่าให้ฟัง… ในสมัยที่เขาล่าอาณานิคมประเทศ มีกัปตันเรือคนหนึ่ง เขาล่องเรือหลงทางไปที่เกาะแห่งหนึ่ง ทั้งกัปตันและลูกเรือกำลังหิวอย่างหนัก แต่ว่าทั้งเกาะนั้น หาอาหารไม่ได้เลย มีเพียงต้นมะพร้าวต้นเดียวที่มีลูกเต็มต้น แต่ต้นมะพร้าวต้นนี้สูงมาก และมิหนำซ้ำ ยังมีลิงตัวหนึ่งนั่งอยู่บนยอด วางท่าเป็นเจ้าของต้นมะพร้าวต้นนี้อยู่ อย่างดุดัน กัปตันนึกได้ถึงจุดอ่อนของลิง เขาและลูกเรือจึงหาเศษหิน เศษไม้ ขว้างใส่ลิง ทำให้มันโกรธ เมื่อเจ้าลิงโกรธ มันก็จัดการทันทีเลย โต้ตอบด้วยการขว้างลูกมะพร้าวใหญ่เลย จนลูกมะพร้าวเกือบหมดต้น พวกกัปตันเรือและลูกเรือ ก็คอยหลบเท่านั้นเอง แล้วก็เอามะพร้าวไปกินฟรีๆ..

เห็นหรือยังความโกรธ หลายครั้งเราก็เป็นอย่างนี้แหละ เอาสิ่งที่มีประโยชน์ของเราขว้างออกไป ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง เวลา ทรัพย์สินเงินทอง แค้นมาก เสียเท่าไร ไม่สนใจ รู้แต่ว่าสะใจดี ได้ชำระหนี้แค้น

พระเจ้าได้สั่งเราไว้ในพระคัมภีร์ เอเฟซัส 4:26-27 ว่า

   “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร”

พระคัมภีร์ไม่ได้สั่งว่า “ห้ามโกรธเด็ดขาด” แสดงว่าการรู้สึกโกรธ เป็นเรื่องปกติธรรมชาติ ที่เรายังอยู่ในร่างกายเนื้อหนังที่เต็มด้วยเชื้อบาป ทุกคนย่อมจะมีอารมณ์และความรู้สึกโกรธได้

หลายครั้งการรู้สึกโกรธ ไม่ได้ทำให้เราทำบาป แต่วิธีแสดงความโกรธออกมาต่างหาก ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าบาปหรือไม่บาป  เราเอาความโกรธไปทำอะไร  ถ้าเราปล่อยให้ความโกรธสั่ง ให้เราพูดทำสิ่ง ที่ตรงกันข้ามกับวิธีการแสดงความรัก นั่นแหละ บาป พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยแน่

เอเฟซัส 4:26-27 นี้ได้ชี้ทางออกให้เรา 2 ทาง คือเมื่อเรารู้สึกโกรธแล้ว

(1) โกรธได้ แต่ไม่ปล่อยให้อารมณ์โกรธชักนำพาเราไปทำบาปต่อ

(2) อย่าให้ถึงตะวันตกดิน ยังโกรธอยู่ คือให้กำจัดความโกรธออกไปให้เร็วที่สุด อย่าให้ข้ามวันข้ามคืนยังโกรธอยู่

สมัยก่อนนั้นชาวยิวจะนับเวลา เริ่มต้นวันใหม่ คือ 6 โมงเย็น เพราะฉะนั้นตะวันตกดินเมื่อไร เมื่อนั้นถือว่าหมดสิทธิ์ที่จะโกรธ การหลับไปพร้อมกับความโกรธ ยิ่งแย่  ถ้าเราไม่ทำตาม 2 ข้อนี้ สิ่งที่ 3 ก็จะมีตามมา นั้นคือการเปิดโอกาสให้มารชักนำเราไปทำสิ่งที่เขาทำกันในความมืด

งานใหญ่ที่สุดของคริสเตียนทุกคนคือการดูแลตัวเราเอง ดูแลเนื้อหนัง (กิเลสตัณหา)รู้ไหม ใครที่ไม่โกรธเลย   คนที่ตายแล้วไง

เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ (โคโลสี 3:5) ...สิ่งเหล่านี้ท่านไม่สามารถกำจัดมันใช่ไหม เราลองมาดูพระคำอีกข้อ

โรม6:11 เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่า ท่านได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ...

ฮีบรู 12: 3 ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ทรงยอมทนต่อการคัดค้านของคนบาป เพื่อท่านจะไม่อ่อนล้าและไม่ท้อใจ

ข้อ 4 ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย

ข้อ 14 จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนและที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย รม. 14:19; 2ทธ. 2:22; มธ. 5:8

ข้อ 15 จงระวังให้ดี อย่าให้ใครขาดจากพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นน งอกขึ้นมา ก่อความยุ่งยากให้และทำให้หลายคนเป็นมลทิน

   ฮีบรู 13:1 จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อกันเสมอไป

   เราอาจจะได้ยินคนอื่นพูดกันว่า “ยิ่งรัก ยิ่งโกรธ” หรือ “รักมาก ก็แค้นมาก” แบบนี้ไม่ใช่ความรักแท้ ไม่ใช่เป็นความรักแบบอากาเป้ แต่เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เช่น “เพราะฉันรักเธอมาก ถ้าฉันไม่ได้ คนอื่นก็ไม่ควรจะได้” “ฉันรักเธอ เพราะฉะนั้นห้ามทำสิ่งที่ฉันไม่ชอบ” “ฉันรักเธอมากขนาดนี้ ทำไมเธอทำกับฉันได้”  รักแท้ของพระเจ้า นั้นอดทน ไม่อิจฉา ไม่หยิ่งผยอง ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว รักทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น

มัทธิว 18:21-22

“ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์ จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ

490 ครั้ง คือจำนวนที่พระเยซูบอกให้อดทน กับคนที่ทำผิดต่อเรา พระคัมภีร์เปรียบเทียบ คนที่ควบคุมอารมณ์โกรธไว้ได้ว่าเป็นผู้มีพลังยิ่งใหญ่กว่าคนที่ตีเมืองได้อีก

ในสุภาษิต 16:32 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า.-

   “บุคคลผู้โกรธช้า ก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเอง ก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้”

สดุดี 37:7-8

   “จงสงบอยู่ต่อพระเจ้า และเพียรรอคอยพระองค์อยู่ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อน เพราะเหตุผู้ที่เจริญตามทางของเขา หรือเพราะเหตุผู้ที่กระทำตามอุบายชั่ว จงระงับความโกรธ และทิ้งความพิโรธ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อน มีแต่จะชั่วไป”

เราเห็นคนจำนวนมากมายที่ทำชั่ว แต่กลับได้ดี พระเจ้าไม่ยุติธรรมไหม พระเจ้ายุติธรรมเสมอ เพียงแต่พระองค์ จะทำตามแผนของพระองค์ที่วางไว้ พระคัมภีร์ได้บอกว่า สำหรับคนที่ทำชั่ว แล้วพระองค์ยังปล่อยให้เขาทำชั่วอยู่ เพื่อให้เขาไปถึงวันแห่งความลำเค็ญ

ฮีบรู 13 :27 “แสดงว่าสิ่งที่สั่นสะเทือนอันได้แก่สิ่งที่ทรงสร้างแล้วนั้นจะถูกเอาออกไป เพื่อให้สิ่งที่ไม่สั่นสะเทือนดำรงอยู่ สดด. 102:26

ข้อ 28 เหตุฉะนั้นเมื่อเราได้รับอาณาจักรที่ไม่สั่นสะเทือนแล้ว ก็ให้เรามีใจขอบพระคุณ โดยเหตุนี้เราจึงนมัสการอย่างที่ชอบพระทัยของพระเจ้า ด้วยความเคารพและด้วยความยำเกรง

ข้อ 29 เพราะว่าพระเจ้าของเรานั้นทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ ฉธบ. 4:24;

ให้เราสงบ รอคอย และยำเกรงพระเจ้า ไม่มัวแต่หมกมุ่น คิดโกรธแค้นคนที่ทำชั่ว ความหงุดหงิด จะทำให้ สุขภาพจิตก็เสือม สุขภาพกายแย่

   พระคัมภีร์ยังบอกไว้ว่า การทะเลาะวิวาทกัน เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โต เหมือนกับนิทานอีสป “น้ำผึ้งหยดเดียว” เคยได้ยินตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มาฟังกันใหม่

ตัวอย่าง“น้ำผึ้งหยดเดียว”

… ชาวป่าคนหนึ่ง หาบน้ำผึ้งเดินขายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บังเอิญทำน้ำผึ้งหยดลงพื้น 1 หยด จิ้งจกตัวหนึ่งก็คลานมา เห็นมดกำลังเลียกินน้ำผึ้งหยดนั้นอยู่ จิ้งจกก็จะไปกินมด แมวตัวหนึ่งผ่านมา ก็เห็นจิ้งจก ก็กระโดดตะครุบจิ้งจก สุนัขตัวหนึ่งผ่านมาเห็นแมว ก็วิ่งเข้าไล่กัดแมว

   เจ้าของแมวเดินออกมา เห็นสุนัขกัดแมวของตน ก็เลยเอาไม้ไล่ตีเจ้าสุนัขนั้น เจ้าของสุนัขได้ยินเสียงร้อง “เอ๋ง” ก็วิ่งออกมาดู พอรู้ว่าสุนัขของตนถูกเพื่อนบ้านไล่ตี ก็เข้าไปชกต่อยเจ้าของแมว

   ญาติของเจ้าของแมวได้ยินเสียงการต่อสู้ ก็รีบออกมาช่วย

ญาติของเจ้าของสุนัข เห็นพรรคพวกของตนถูกทำร้าย จึงกรูกันออกมาช่วยเช่นกัน

การต่อสู้ดำเนินการต่อไป อย่างยาวนาน จนในที่สุดคนในหมู่บ้าน แตกแยกกันเป็น 2 ฝ่าย คือพวกที่เข้าข้างเจ้าของสุนัข และพวกที่เข้าข้างเจ้าของแมว จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง กว่าเจ้าเมืองจะส่งคนมายุติศึกได้ ผู้คนก็ล้มตายเป็นจำนวนมาก เหตุเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นเพราะน้ำผึ้งหยดเดียว ….

     เรื่องนิดๆ หน่อยๆ เอง ยอมไปเถอะ บางคนเข้มแข็ง กล้าหาญ ทนได้ทุกอย่าง แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งกลับทนไม่ได้ แค่คำพูดไม่เข้าหู รู้สึกเสียเกียรติ คิดว่าเขาดูถูกเรา โกรธกันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต

ยากอบ 1:19-20 “ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า”

เมื่อไรก็ตามที่เผชิญหน้ากับใคร ให้นึกถึงกฎเหล็ก 3 ข้อนี้ (1) ไวในการฟัง (2) ช้าในการพูด (3) ช้าในการโกรธ เพราะถ้าไวในการฟังกับช้าในการพูด  สิ่งที่ตามมาก็ คือจะช้าในการโกรธ

มีคนตั้งข้อสังเกตว่าพระเจ้าให้เรามีหู 2 ข้าง ให้ปากมา 1 ปาก เพราะฉะนั้นเราควรจะฟังมากกว่าพูด เจอหน้าตัวเองในกระจก จงย้ำเตือนตนเองว่า “ฉันมี 2 หู มี 1 ปาก เพราะฉะนั้น ฉันควรจะฟังเป็น 2 เท่าของการพูด”

สุภาษิต 22:24-25    “อย่าเป็นมิตรกับคนที่มักโกรธ หรือไปกับคนขี้โมโห เกรงว่าเจ้าจะเรียนรู้ทางของเขา และพัวพันตัวเจ้าเข้าในบ่วง”

   ตื่นนอน อธิษฐานให้กับคนที่ทำให้เราโกรธ ดังคำสั่งของพระเยซู

มัทธิว 5:43 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่าจงรักเพื่อนบ้านของท่าน และเกลียดชังศัตรูของท่าน

44 แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน รม. 12:20

45 เพื่อว่าพวกท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีคนชั่วเสมอกัน ให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม

46 เพราะว่าถ้าพวกท่านรักคนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จอะไร? พวกคนเก็บภาษีก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ?

47 ถ้าพวกท่านทักทายแต่พี่น้องของตน ท่านได้ทำอะไรพิเศษกว่าคนอื่นๆ? พวกต่างชาติก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? มธ. 6:32;

48 เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม

โรม 12: 20 แต่ว่า “ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำเช่นนั้น จะทำให้เขารู้สึกตัวและกลับมาคืนดี ลก. 6:27; สภษ. 25:21; มธ. 5:44;

21 อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี

กะลาเทีย5: 22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ รม. 8:5; รม. 5:1-5; 2คร. 6:6; อฟ. 5:9;

23 ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย อฟ. 4:2; กจ. 24:25; 24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้ตรึงเนื้อหนังไว้ที่กางเขนพร้อมกับราคะและตัณหาแล้ว รม. 6:6

25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย กท. 5:16; 26 เราอย่าอวดตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉากันเลย ฟป. 2:3;