ชาวสะมาเรียผู้ใจดี
ลูกา10: 29-32
25. ดูเถิด มีบาเรียนคนหนึ่งยืนขึ้นทดลองพระองค์ ทูลถามว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์” 26. พระองค์ตรัสตอบว่า “ในธรรมบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไร ท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร” 27. เขาทูลตอบว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 28. พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงกระทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต”
บาเรียนตอบพระเยซูคริสต์ว่าคำสอนที่สำคัญที่สุดที่สรุปได้จากพระคัมภีร์คือ จงรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจ และด้วยสิ้นสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดและจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
บาเรียนตอบได้ถูกต้อง และพระเยซูหนุนใจให้ไปดำเนินชีวิตเช่นนี้ แต่บาเรียนกลับถามว่า “เพื่อนบ้านของเขาคือใคร”
บาเรียนคือใคร ?
ภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่ใช้คำนี้ต่างกันเล็กน้อย: (๑) พระคัมภีร์เดิม, ธรรมาจารย์มีหน้าที่คัดลอกพระคัมภีร์ (ยรม. ๘:๘). (๒) พระคัมภีร์ใหม่กล่าวถึงพวกธรรมาจารย์บ่อยครั้งและบางครั้งจะเรียกพวกเขาว่าบาเรียน พวกเขาแก้ไขรายละเอียดของข้อกฎหมายและนำมาใช้กับสภาวการณ์ในสมัยของพวกเขา (มธ. ๑๓:๕๒; มก. ๒:๑๖–๑๗; ๑๑:๑๗–๑๘; ลก. ๑๑:๔๔–๕๓; ๒๐:๔๖–๔๗).
มธ.23:25 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส
29. แต่คนนั้นปรารถนาจะแก้ตัว จึงทูลพระเยซูว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า” 30. พระเยซูตรัสตอบว่า “มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว 31. เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง 32. คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั้นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง 33. แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา 34. เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้35. วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า “จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้” 36. ในสามคนนั้นท่านคิดเห็นว่าคนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น”37. เขาทูลตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่ได้สำแดงความเมตตาแก่เขา” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด”
คำนำ
เพื่อนบ้านคือใคร
I ความทุกข์ลำบากของเขาคือความทุกข์ของเรา
พระเยซูตอบโดยเล่าเรื่องอุปมาชาวสะมาเรียใจดี ให้บาเรียนฟัง
ชายคนยิวเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปเมืองเยรีโค ซึ่งอยู่ห่างจากกันประมาณ17 ไมล์ ถนนสายนี้มีชื่อเสียงว่าเต็มไปด้วยโจรผู้ร้ายคอยดักปล้นชุกชุม ชายคนนี้ก็ถูกโจรปล้น ถูกเอาเสื้อผ้าไปด้วย ถูกทุบตีทำร้ายร่างกายและปล่อยให้นอนปางตาย รอคอยความช่วยเหลือ ช่วงขณะหนึ่งผ่านไป มีปุโรหิตคนหนึ่งเดินทางผ่านมาบนถนนสายนี้ แต่พอเห็นชายคนบาดเจ็บนี้ก็หวนเดินผ่านไปอีกข้างหนึ่งของถนน ปุโรหิตและคนเลวี มีหน้าที่ปรนนิบัติพระเจ้าในพระวิหารและมีหน้าที่เอาเครื่องบูชามาถวายพระเจ้า ปุโรหิตต้องมาจากคนเผ่าเลวีและต้องมาจากเชื้อสายของอาโรน ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตคนแรกของอิสราเอล ปุโรหิตมีหน้าที่ต้องนำเครื่องบูชาที่คนอิสราเอลนำมาให้พระเจ้าถวายแด่พระเจ้า ส่วนคนเลวีมีหน้าที่ช่วยเหลือปุโรหิตอีกที่หนึ่ง (อพย28และ29)ปุโรหิตและคนเลวีอยู่ได้ด้วยเงินถวายสิบลดที่คนอิสราเอลถวายให้ พระคัมภีร์เดิมสั่งให้คนของพระเจ้าเมตตาสงสารและช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บ ปุโรหิตและคนเลวีถูกมองว่าต้องเป็นคนที่เป็นแบบอย่างในความดี เพราะเป็นคนที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า
บางคนบอกว่าทั้งปุโรหิตและคนเลวีไม่กล้ายุ่งกับชายคนนี้เพราะเขาใกล้ตาย หรือบางที่คิดว่าตายแล้ว ตามศาสนายิวถือว่าการไปถูกต้องตัวคนตายเป็นมลทินและรังเกียจ หรืออาจจะคิดว่ายุ่งยาก วุ่นวายถ้าไปช่วยหนุ่มบาดเจ็บคนนั้น จึงเลือกที่จะหลีกหนี ไม่ยอมช่วยเหลือ
พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีหลงตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม (มธ. 23:1-36มก 12:38-40; ลก 20:45-47)
II รักห่วงใยอย่างเต็มที่
ลก10:33-37
33)แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา34)เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้35) วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า “จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้”36)ในสามคนนั้นท่านคิดเห็นว่าคนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น”37)เขาทูลตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่ได้สำแดงความเมตตาแก่เขา” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด”
ชาวสะมาเรียเป็นใคร ?
คนสะมาเรียมาจากคน Assyria ที่เคยเข้ามาบุกและยึดครองอิสราเอลทางเหนือ และตั้งรกราก ทำให้คนอิสราเอลตอนเหนือแต่งงานกับคนต่างชาติ เลยเกิดเป็นลูกผสม 2 พกษ17:24-41
คนสะมาเรียกับคนยิวเกลียดชังกันมาเป็นร้อยๆปี คนยิวดูถูกและไม่คบค้าสมาคมสังสรรค์กับคนสะมาเรียเพราถือว่าไม่ได้มีเลือดอิสราเอลแท้ ส่วนคนสะมาเรียก็โกรธคนยิวที่ถูกคนยิวดูถูกว่าเป็นชาติที่ต่ำต้อย ไม่ใช่ยิวแท้ คนยิวถือว่าตัวเองเป็นเผ่าพันธ์ที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัมมาโดยตรง
คนที่ควรจะช่วยยิวด้วยกันคือปุโรหิตและคนเลวีกลับไม่ช่วย แต่คนที่มาช่วยคนยิวที่นอนเจ็บอยู่กลับเป็นคนสะมาเรียที่ถูกดูถูกว่าต่ำต้อย
คนสะมาเรียเห็นคนเจ็บก็เกิดความเมตตาสงสารตรงเข้ามาช่วยเหลือ อาผ้ามาพันบาดแผลให้ เอาน้ำมันมาทาและเอาเหล้าองุ่นใส่บาดแผล แล้วให้คนเจ็บขึ้นหลังลา เขาเองลงเดินพา ไปพักในโรงแรมและดูแลคนเจ็บตลอดคืน พอเช้าคนสะมาเรียต้องจากไปชั่วคราวเพื่อไปทำธุระ เขาฝากเงินไว้กับเจ้าของโรงแรมให้ช่วยดูแลรักษาคนเจ็บและบอกว่า “ถ้าขาดไม่พอเดี๋ยวกลับมาจะชดใช้คืน คนสะมาเรียต้องการให้คนยิวที่เจ็บมั่นใจว่าจะดูแลอย่างถึงที่สุด
พระเยซูถามบาเรียนว่าใครแป็นเพื่อนบ้าน เขาตอบว่า ชาวสะมาเรียเป็นเพื่อนบ้านของคนเจ็บซึ่งเป็นชาวยิว
พระเจ้าสอนเราให้แสดงความรักออกมาด้วยการแสดงออกเป็นการดำเนินชีวิต
คริสเตียนต้องรักพี่น้องของเรา
ยน13:34-35
34)เราให้บัญญัติใหม่ไว้เจ้าทั้งหลายคือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น35)ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”
ยน15:10และ12
10)ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์12)”ในบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน
1 ยน4: 7,8
7)ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า8)ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
กจ20: 35
35)ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้าซึ่งพระองค์ตรัสว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”
คส3:12-14
12)เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อน สุภาพ ใจอดทนไว้นาน13)จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน14)แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์
ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถแสดงความรักต่อกันอย่างไม่มีขอบเขตเวลาได้ มีแต่ Jesus Christ เท่านั้น
รม8:37-39
37)แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย38)เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย39)หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดใดอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลาย ขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
สดด103: 8-12
8) พระเจ้าทรงพระกรุณาและมีพระคุณ ทรงกริ่วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคง9)พระองค์จะไม่ทรงปรักปรำเสมอหรือทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์10)พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรางสนองตามบาปผิดของเรา11)เพราะว่าผ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่งเท่านั้น12)ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดของเราจากเราไปไกลเท่านั้น